เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๘ ต.ค. ๒๕๕๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เอาเนาะ ตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจฟังธรรมะนะ เพราะมีธรรมะ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมถึงมีธรรมะ แต่ไม่มีธรรมะ คนดีก็คือคนดี คนดีอยู่ที่ไหนเขาก็ดีของเขาได้ คนที่เห็นแก่ตัว คนที่กิเลสมันบีบหัวใจ เขาก็ว่าเขาดีของเขา

เวลาคนดีทำสิ่งใดก็ได้ ทำเพื่อคุณงามความดีนะ คนดีอยู่ที่ไหนก็เป็นคนดี ถ้าคนพาลอยู่ที่ไหนเขาก็เป็นคนพาลของเขา แต่คนดีก็ดีทางโลกๆ ไง แต่ถ้าศาสนา เวลาเรื่องศาสนา ศาสนามีความจำเป็นอย่างไร

ศาสนามีความจำเป็น เห็นไหม ดูสิ เวลาจิตใจที่สูงกว่า ถ้าจิตใจเราต่ำกว่า เรามองสิ่งที่สูงกว่าไม่ได้หรอก ถ้ามองสิ่งที่สูงกว่าไม่ได้ เราไม่เข้าใจไง เราไม่เข้าใจ ว่าเราก็ทำความดีแล้ว โลกจะบอกว่าเราก็เป็นคนดี ทำไมเราต้องไปวัดไปวา ไปวัดไปวาไปทำไม

ความดีอันนั้นมันเกิดมาจากไหนล่ะ? ความดีอันนั้นมันเกิดมาจากบุญกุศล เกิดมาจากพันธุกรรมของจิต จิตที่มันสร้างสมมาดี จิตที่สร้างสมมาดีนะ สิ่งที่สร้างสมมาดีมันก็ดีอยู่ในโลก ดีอยู่ในวัฏฏะไง ถ้าสร้างสมมาดีแล้ว ความดีอย่างนี้ความดีการเสียสละ ความดีที่ดูแลเผื่อแผ่เจือจานกัน อันนี้เป็นความดีของโลกนะ แต่ถ้าความดีของเราล่ะ

เวลาบอกของเราๆ พูดว่าของเราไม่ได้ ถ้าพูดว่าของเรานี้เป็นคนเห็นแก่ตัว คนเห็นแก่ตัวพูดว่าของเราไม่ได้ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเป็นของใครล่ะ? เป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราไม่มีคุณธรรมในหัวใจ เราจะเอาอะไรไปบอกใคร ของเราๆ มันสำคัญ แล้วของเราๆ มันอยู่ไหนล่ะ

ถ้าของเรา เขาว่าของเรา เราเป็นคนดีแล้ว ทุกคนก็ชื่นชมว่าเราเป็นคนดี คนดีก็ต้องตายแบบคนดีนั่นแหละ พอตายแล้วก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เขาก็เวียนว่ายตายเกิดของเขา เพราะนั่นความดี

ศาสนามีคุณค่า มีคุณค่าตรงนี้ไง มีคุณค่าที่คุณงามความดีที่ละเอียดกว่านี้ ความดีที่อยู่ในหัวใจนี้ ความดีที่เป็นนามธรรมนี้ เอ็งหาไม่เจอ เอ็งหาไม่ได้ เอ็งหาไม่เป็น ถ้าหาเป็นนะ แล้วนั่งอยู่เฉยๆ มันเป็นความดีได้อย่างไรล่ะ เวลานั่งขัดสมาธิอยู่โคนต้นโพธิ์ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก มันคุณงามความดีตรงไหนล่ะ ความดีอย่างนี้ความดีที่แท้จริงไง อริยทรัพย์ อัตตสมบัติ สมบัติของใจ ถ้าใจมันมีสมบัติของมัน มันรู้ว่ามันมีสมบัติมากน้อยขนาดไหนไง ถ้าใจไม่มีสมบัติของมัน มันไม่มีสมบัติของมัน อาศัยคนอื่นไง อามิสๆ คืออาศัย อามิสคือของที่จะต้องอาศัยสิ่งนั้นมา นี่มันเป็นอามิสๆ มันไม่เป็นความจริงไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นนะ จะปรินิพพาน เขามาถวายบูชาดอกไม้ธูปเทียนมหาศาลเลย ทุกคนก็ต้องชื่นใจใช่ไหม

“อานนท์ เธอบอกเขานะ ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด สิ่งนี้อย่าบูชาเราด้วยอามิสบูชาเลย”

สิ่งที่เป็นอามิสบูชา เห็นไหม ดูสิ โดยทั่วไป ศาสนาผีเขาก็เซ่นไหว้ของเขา ศาสนาที่เขาเชื่อถือเขาก็เซ่นไหว้ของเขา แล้วของเราทำบุญเซ่นไหว้หรือเปล่า มันไม่ได้เซ่นไหว้ มันเสียสละ สละทานไปเพื่อชีวิตไง ชีวิตของนักบวชไง นักบวชเขาเสียสละของเขามา เขาไม่มีอาชีพของเขามา เขาเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เราให้ชีวิต เราไม่ใช่เซ่นไหว้ เราให้ชีวิตของเขา

ฉันอาหารแล้ว เห็นไหม ดูสิ ในวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระฉันแล้วเข้าสู่โคนไม้ ถ้าใครเข้าได้ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน เข้าสู่ฌาน เข้าสู่สมาบัติ เข้าสู่ความสงบระงับ ถ้าใครฝึกหัดใช้ปัญญาได้ ปัญญานี้จะใคร่ครวญ นี่ศาสนา บอกว่าศาสนามีความจำเป็นอะไร เราก็เป็นคนดีแล้ว

ศาสนามีความจำเป็น ก็ตัวศาสนาคือตัวสัจธรรม แล้วใครจะรื้อค้นตัวสัจธรรมนี้ได้ล่ะ เพราะใครรื้อค้นก็บอกคนนั้นเป็นผู้รู้ผู้เห็น นี่ตัวศาสนานะ แล้วเราทำบุญกุศล เราฟังธรรมเพื่อประโยชน์อะไรล่ะ? เพื่อประโยชน์การฉุกคิดไง สามัญสำนึกของใจไง เราเกิดมาทำไม เราเกิดมามีอะไร เราเกิดมาเพื่ออะไร เราเกิดมาแล้ว เกิดมาทุกคนเป็นมนุษย์เหมือนกัน ทุกคนหาความสุขทางโลกได้เท่ากัน ทุกคนมีปัจจัย มีเงินแลกเปลี่ยนมา จะทำสิ่งใดก็ได้ทั้งนั้นแหละ ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพเหมือนกัน ใครทำสิ่งใดก็ได้ แต่สุข-ทุกข์ไม่เท่ากัน

เพราะจิตใจคนที่สูงส่งกว่า เห็นไหม การพักผ่อนที่ดีที่สุด การพักผ่อนของเขาคือการพักผ่อนอยู่ที่บ้าน การพักผ่อนของเรา เราต้องไปรอบโลก ไปรอบโลก มนุษย์สร้างขึ้น มนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้นมาให้เราไปศึกษา ไปดู ไปทัศนศึกษา

แต่ถ้าหัวใจล่ะ เราทัศนศึกษาในหัวใจของเราล่ะ แล้วมันอยู่ที่ไหน ลมหายใจเข้านึกพุท ลมหายใจออกนึกโธ แล้วมันจะมีสิ่งใด ไม่เห็นมีสิ่งใดเลย เห็นไหม ดูสิ โรงงานอุตสาหกรรม เขาใช้ลม ใช้ต่างๆ เขาใช้มากกว่าเราอีก ไอ้นั่นมันเป็นโรงงานอุตสาหกรรม มันเป็นสสาร มันเป็นแร่ธาตุ มันไม่มีชีวิต แต่ของเรามันมีสุข-มีทุกข์ มันมีสุข-มีทุกข์ มีความรู้สึก มีความอบอุ่น มีความหงอยเหงา มีความเสียใจ มีความดีใจ ความเสียใจ ความดีใจเป็นสิ่งที่มีชีวิต

สิ่งที่มีชีวิต คนที่จิตใจสูงส่ง เห็นไหม อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา เราไม่คบคนพาล เราจะคบบัณฑิต เราจะคบแต่สิ่งที่เป็นคุณงามความดีของเรา เราว่ามีคุณงามความดีของเรา

แล้วเราเกิดมาเป็นคนไง เกิดมาเป็นคน ที่ว่าเป็นคนไม่มีศาสนา เดี๋ยวนี้เป็นเรื่องเท่ห์นะ ไม่นับถือศาสนาใดๆ เลย ไม่นับถือศาสนาใดๆ เลย นั่นก็เป็นสิทธิของบุคคลคนนั้น แต่เรานับถือศาสนาสิ่งใดก็แล้วแต่ ศาสนาเขามีไว้ทำไมล่ะ

ศาสนาเป็นเครื่องขัดเกลา ขัดเกลาหัวใจของเรา หัวใจของเรามันมีทิฏฐิ มีความเห็นของมันแน่นอนอยู่แล้ว ถ้าความเห็นอยู่แล้ว เราศึกษาขึ้นมาแล้วเราก็ว่าเราเข้าใจของเรา ถ้าเราเข้าใจของเรา

ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธหมด ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้นนะ ให้เชื่อสัจธรรม ให้เชื่อการประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงของเรา แล้วเวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมาท่านจะรู้ของท่าน รู้ของท่านว่าจิตใจนี้ จิตใจนี้มันเหมือนช้างสารที่ตกมัน เหมือนช้างสารที่ตกมันที่เอาไว้ในอำนาจของเราไม่ได้ แล้วถ้าใครมีสติปัญญาเอาช้างสารที่ตกมันไว้ได้

ดูสิ ช้างสารในสมัยโบราณ ใครมีช้าง เขามีพาหนะ เขามีเครื่องทุนแรงอย่างมหาศาลเลย เห็นไหม ช้างสารตัวหนึ่งที่เขาเอาไว้ใช้ในบ้านในเรือนของเขา มันเป็นประโยชน์กับเขามหาศาลเลย นี่ก็เหมือนกัน ช้างสารของเรา จิตใจของเรามันเหมือนช้างสารที่ตกมัน เอามันไว้ไม่ได้เลย แล้วเราจะเอามันไว้ให้ได้สิ เอาไว้ให้ได้ ดูช้างสารมันต้องการอะไรล่ะ ก็เอาอาหารล่อมันไง

นี่ก็เหมือนกัน เวลามันคิดสิ่งใด มันต้องการสิ่งใด ก็เอาสิ่งที่แสวงหานั้นล่อมันไง ตัณหาความทะยานอยากไง แล้วล่อมันแล้วมันอิ่มไหม ช้างกินอิ่มแล้วมันสบายใจของมันนะ หัวใจมันเคยอิ่มไหม มันเคยพอใจไหม ถ้ามันไม่เคยพอใจ ดูสิ ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติมา แม้แต่เอาใจของเราไว้ในอำนาจของเรามันก็แสนยากแล้ว

การทำความสงบของใจที่เป็นสัมมาทิฏฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาคือความถูกต้องดีงามของมัน ถูกต้องดีงามของมัน มันไม่ต้องเอาสิ่งใดไปล่อ ไม่ต้องเอาสิ่งใดไปเซ่นไหว้ มันไม่ต้องเอาสิ่งใดเป็นสินบน มันพุทโธๆ ถ้ามันเป็นจริง มันเป็นจริงของมัน เพราะอะไร เพราะใจของเรามันจริง เรามีหัวใจของเราเป็นจริง หัวใจที่เวียนว่ายตายเกิด เพราะเวียนว่ายตายเกิดขึ้นมา เพราะเราเห็นคุณค่า

ดูสิ ผู้ที่เห็นภัยในวัฏสงสารมาบวชเป็นพระ พระมาจากไหน? พระก็มาจากคน ถ้ามาวัด วัดที่ไม่มีข้อวัตร วัดร้าง วัดร้างคือว่าไม่มีกติกา ไม่มีข้อวัตร ไม่มีการรักษาสิ่งใด ไม่มีกิจของสงฆ์ กิจของสงฆ์คือทำความสะอาดวัด เพราะพระอยู่ในวัดนั้นก็ต้องดูแลสิ่งที่อยู่ในวัดนั้น เราเข้าไปในวัดนั้น วัดนั้นมีความร่มรื่น วัดนั้นมีความสะอาด เพราะเขามีข้อวัตร

หัวใจของเรา ถ้าหัวใจของเรามีสติมีปัญญา เราไม่ใช่วัดร้างไง ถ้าหัวใจมันร้าง หัวใจมันหงอยเหงา หัวใจมันไม่มีที่พึ่งอาศัย ถ้าไม่มีที่พึ่งอาศัย แล้วจะไปพึ่งอะไรล่ะ ก็จะไปพึ่งแก้วแหวนเงินทอง ไปพึ่งโลกธรรม ๘ ให้คนอื่นเขายกย่องสรรเสริญไง คนอื่นเขายกย่องสรรเสริญขึ้นมา เราไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาไง

ถ้าเรามีสติปัญญา เราพุทโธ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ นี่บอกว่ามันไม่มีค่าไง ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกไง พุทโธไม่มีค่า ไม่มีสิ่งใดเลย มันไม่ใช้ปัญญาเลย เราใช้ปัญญาของเรา เรามีปัญญาทั้งนั้นแหละ ปัญญาที่เราพิจารณามันเป็นปัญญา เราเป็นนักปราชญ์

นักปราชญ์มันปราศจาก ปราชญ์ว่างเปล่า มันคิดของมันไปโดยอะไรนั่นน่ะ มันคิดของมันไปโดยอะไร เห็นไหม ช้างสารตกมันโดยไม่รู้ตัวเลย แต่ถ้าเรากำหนดพุทโธ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ขัดแย้งแล้ว มันขัดแย้งเพราะอะไร เพราะมันไม่ยอมทำ มันเครียด มันเครียดเพราะอะไรล่ะ เพราะนั่นน่ะร่องรอยของมัน ทางเดินของมันไง ทางเดินของกิเลสมันเดินประจำไง แล้วเราจะกลั่นกรอง เราจะแยกแยะไง นี่มันโต้แย้งแล้ว พอมันโต้แย้ง มันทำยาก มันยากตรงนี้

แต่ถ้ามันเป็นของจอมปลอม มันง่าย มันง่ายเพราะอะไร เพราะมันไปเส้นทางเดียวกันไง ไปเส้นทางเดียวกับกิเลสไง กิเลสหลอกอย่างไร กิเลสปั่นหัวอย่างไรก็ไปตามมันไง แล้วบอกว่างๆ ว่างๆ...ว่างๆ มันก็เผลอไง ว่างๆ มันก็ไม่มีสติไง มันเป็นสัมมาสมาธิที่ไหน มันไม่เป็นสัมมา เห็นไหม กาลามสูตร อย่าให้เชื่อ อย่าเพิ่งเชื่อนะ อย่าให้เชื่อ อย่าเชื่อสิ่งใดๆ เลย แล้วปฏิบัติเอา ทำความจริงของเราขึ้นมา ถ้ามันเป็นอยู่อย่างนี้ มันจอมปลอม คุ้นเคยกับมัน มันจอมปลอมอย่างนี้

ถ้ากำหนดพุทโธ บังคับมันบ้าง แล้วถ้ามันไปลงสู่ความจริง ความจอมปลอมกับความจริงมันเป็นการยืนยัน นี่ปัจจัตตัง ปัจจัตตัง พระพุทธเจ้าให้เชื่อตรงนี้ ให้เชื่อประสบการณ์ ให้เชื่อความจริง ให้เชื่อในการปฏิบัติ ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น

โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ แล้วการปฏิบัติของเรา หลวงปู่มั่น หลวงตาท่านพูด โมฆบุรุษ ว่างเปล่าไง พวกโมฆะบุรุษไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันเลย ได้แต่เครื่องแบบมา บวชมาเป็นพระขึ้นมาได้ห่มผ้ากาสาวพักตร์ เป็นธงชัยพระอรหันต์ เพราะเขาเห็นแก่ผ้าเหลือง เขาก็ยกให้ จะพูดถูกพูดผิดอย่างไรเขาก็เคารพไปตามแต่เขาพอใจ พูดถูกพูดผิดก็ไม่เป็นไร

แต่นักรบด้วยกัน นักปฏิบัติด้วยกันพูดผิด พูดผิด มิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิดทำให้จิตใจนี้ออกนอกลู่นอกทาง ให้จิตใจไปตามแต่กิเลสมันครอบงำ ทั้งๆ ที่ไม่ต้องปฏิบัติ กิเลสมันก็มีอยู่แล้ว เราเป็นคนดี เรามีสติมีปัญญา เราว่าเราเป็นคนดีอยู่แล้ว แต่ไม่มีอะไรเทียบเคียง เช่น ศีล ๕ พอบอกถือศีล ๕ อู๋ย! ลำบากไปหมดเลย

เขาเป็นเครื่องวัดไง ศีล ๕ คือข้อกำหนด ๕ ข้อที่ไม่ควรทำ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล ศีลเฉยๆ นั่นน่ะ ยังไม่เป็นสมาธิเลย ถ้าเป็นสมาธิขึ้นมาแล้วเกิดปัญญา ปัญญาอย่างนี้หรือ ปัญญาอย่างที่เราใคร่ครวญกันอย่างนี้หรือ ปัญญาอย่างนี้ที่ว่าเราแสวงหากันหรือ ปัญญาที่เราแสวงหากันจริงๆ ขึ้นมามันเป็นภาวนามยปัญญา แล้วใครที่เห็นภาวนามยปัญญา มันเห็นธรรมจักร

ถ้าเห็นธรรมจักร เห็นไหม เวลาหลวงตาท่านเทศน์ เพราะอะไร เพราะท่านได้ทำของท่านมา เวลาจักรมันเคลื่อน จักรมันหมุน มรรค ๘ ธรรมจักรมันเคลื่อนไป นี่ปัญญาญาณ ปัญญาญาณที่เกิดขึ้นมาจากจิต ปัญญาญาณที่เกิดขึ้นมาจากการกระทำของเรามันเป็นปัญญาจากการค้นคว้านั้นไหม มันเป็นปัญญาจากสัญญาไหม มันเป็นสัญญาที่เราวิจัยกันไหม ปัญญาอย่างนั้นมันเป็นสัญญา สัญญาคือขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นสามัญสำนึก เป็นสิ่งที่มีอยู่ของจิต เป็นสิ่งที่มีอยู่ของความรู้สึกนึกคิด

แล้วสิ่งนี้ความรู้สึกนึกคิดมันเกิดจากไหน? เกิดมาจากจิต เกิดจากภวาสวะ เกิดจากภพ เกิดจากฐีติจิต ฐีติจิตมันมีอะไร? มันมีอวิชชาอยู่ที่นั่น แล้วถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นจากอวิชชามันจะถูกต้องดีงามไปได้ไหม ดูสิ เวลาจะผ่าตัดเขาต้องฆ่าเชื้อ เขาต้องเข้าห้อง แล้วเวลาผ่าตัด ผ่ากันตรงนี้ มีดก็มีดทำครัวนี่แหละ ไม่ต้องเอามีดห้องผ่าตัดหรอก เพราะไม่ต้องฆ่าเชื้อ ทำได้หรือเปล่า

นี่ก็เหมือนกัน เวลามีความรู้สึกนึกคิด รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันเกิดจากอวิชชา เกิดจากเชื้อโรค แล้วมันผ่าตัดหัวใจมันผ่าได้ไหม แล้วมันผ่าขึ้นมามันได้อะไร มันก็ได้ติดเชื้อไง ได้ของแถม จะมาฆ่ากิเลสมันได้ของแถมด้วย แถมมันจะได้ตายไวๆ ไง

แต่ถ้าความจริงนะ นี่พูดถึงความจริงไง คนจะดี เขาบอกว่าศาสนามีคุณค่าอะไร ศาสนามีประโยชน์อะไร

ศาสนา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา กราบแล้วกราบเล่านะ เขาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบอะไร? เรากราบธรรมๆ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมามีรัตนะ ๒ มีพระพุทธเจ้ากับพระธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ พระอัญญาโกณฑัญญะฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดปัญญาญาณในใจของพระอัญญาโกณฑัญญะ เห็นตามความเป็นจริงอันนั้นด้วยภาวนามยปัญญา “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับเป็นธรรมดา” ธรรมดาเพราะมันได้ชำระกิเลส ธรรมดาเพราะมันไม่มีความขัดแย้ง

แต่ของเรามันเกิดเป็นธรรมดา เวลาดับไปก็ดับธรรมดา แต่มันขัดแย้ง เพราะมันไม่พอใจ ถ้ามันเป็นความสุขก็อยากอยู่กับเราตลอดไป ถ้าเป็นความทุกข์ก็ผลักไสมัน มันก็เกิดดับเป็นธรรมดานั่นแหละ แต่กิเลสของเรามันไม่ธรรมดาไง กิเลสของเรามันขัดมันแย้ง มันโต้มันแย้งไง แต่เวลาท่องกันปากเปียกปากแฉะ “มันก็เกิดขึ้นเป็นธรรมดา มันก็ดับเป็นธรรมดา” ธรรมดาเพราะพูดไง แต่มันไม่ธรรมดาไปตามความเป็นจริงไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมเพราะเกิดปัญญาญาณอันนั้น เพราะเกิดปัญญาญาณอันนั้นถึงมีดวงตาเห็นธรรม มีดวงตาเห็นธรรม เราถึงมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราถึงมีรัตนตรัย เราถึงมีรัตนะ มีแก้วสารพัดนึกเป็นที่พึ่งอาศัย

เรามาทำบุญ ทำบุญกันที่นี่ เรามาทำบุญกุศลของเราเพื่อบุญกุศล ทำบุญกุศลเพื่อฟังธรรมๆ ตอกย้ำเรา ตอกย้ำอะไร? ก็ตอกย้ำสามัญสำนึกเรานี่แหละ ตอกย้ำให้หัวใจเราได้คิดว่าเอ็งจะทำอะไร เอ็งจะทำอะไร เอ็งเกิดมาทำไม หัวใจมันทำไม เพราะตอนนี้ยังมีลมหายใจนะ ตอนนี้ยังแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้นะ เวลาดับขันธ์จากที่นี่ จิตออกจากร่างไป ทำบุญกุศลขนาดไหน เขาไปเกิดเป็นพรหม เขาได้ทิพย์สมบัติก็เพลิดเพลินกันไป ถ้าทำบาปอกุศลเขาก็ตกนรกอเวจี เขาก็โดนครอบงำด้วยกรรมของเขา มันจะไม่มีโอกาสได้ทำแบบนี้ไง มันจะไม่มีโอกาสได้พลิกแพลงแก้ไข ตอนนี้เราพลิกแพลงแก้ไขทั้งหัวใจ ทั้งการกระทำ ทั้งต่างๆ เราทำ นี่ธรรมะเตือนตรงนี้ ศาสนาเตือนตรงนี้

คนถ้ามีอำนาจวาสนาขนาดไหน เรื่องสามัญสำนึกนะ ทำบุญกุศลก็ทำของเราไป ถ้าเรามีโอกาสนะ อนุโมทนากับเขา ใครทำคุณงามความดีก็สาธุไปกับเขา นี่ก็คือบุญแล้ว เห็นสังคมเขาทุกข์ยาก เราก็จะช่วยเหลือโดยไม่เจาะจง ไม่ใช่ไปเจาะ ไปทำให้เขาแตกแยก อันนั้นเป็นบาปอกุศลทั้งนั้นแหละ

บุญกุศลเป็นแบบนี้ ใครมีอำนาจวาสนาขนาดไหน ใครมีวุฒิภาวะมากน้อยขนาดไหน แล้วใครเห็นภัยในวัฏสงสาร ใครสละทิ้งในความเป็นอยู่ของฆราวาส จะบวชเป็นพระ เป็นนักรบ รบกับใคร? รบกับกิเลสไง

พระมีงานทั้งนั้นแหละ เกิดสงครามในหัวอกตลอด สงครามในหัวใจ สงครามในการประพฤติปฏิบัติไง มันเกิดการกระทำ เขาเป็นพระ เป็นพระกันตรงนี้ไง นี่งานของพระ งานในทางจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เขามีงานของเขาไง มันเลยไม่เป็นวัดร้างไง ไม่เป็นวัดร้างเพราะมีเป้าหมาย เป้าหมายอยากจะพ้นทุกข์ มีเป้าหมาย มีการกระทำไง

ถ้ามีเป้าหมาย มีการกระทำ ระหว่างทางที่จะไป ข้อวัตรปฏิบัติเป็นระหว่างทาง เรามีเป้าหมายที่จะไปสูงสุด ระหว่างทางเราต้องทำของเราให้ดี ทางของเราต้องสะอาดบริสุทธิ์ ทางของเราต้องสะดวก ทางของเราต้องดี เขาถึงพยายามขวนขวายของเรา เขาพยายามขวนขวายการกระทำของเขาเพื่อประโยชน์กับใจดวงนั้น

ฟังธรรมเพื่อเหตุนี้ไง ศาสนามีความสำคัญ มีความสำคัญเพราะว่า ฟังธรรมๆ เพื่อเตือน เพื่อเตือนสติของเรา มีครูบาอาจารย์เพื่อเป็นที่ปรึกษา ทำอะไรขาดตกบกพร่องให้ครูบาอาจารย์คอยชี้นำ คอยเปิดทางให้ ถ้าเปิดทางให้ ถ้าครูบาอาจารย์ท่านเคยทำ เห็นไหม ดูสิ รถนำทางๆ มันเปิดทางให้เลย เราตามหลังเขาไป ไม่ใช่คนตาบอดจูงคนตาบอด

หูตาสว่างไสว ครูบาอาจารย์ของเราหูตาสว่างไสว แต่คนตาบอด ตาใจเราบอด เวลาเขาจูงไปทางที่ดี เวลาเดินผ่านไปตาบอด ร่มไม้ชายคามันก็ร่มเย็น ก็อยากจะพักที่นี่ ตาบอดมันคัดค้าน ตาบอดมันดื้อ ตาบอดมันไม่ยอมให้ใครจูง

แต่ถ้าครูบาอาจารย์ตาท่านดี ท่านจูง จะจูงต่อเมื่อคนที่มีสติปัญญา ถ้าเขาไม่มีสติปัญญา หลวงตาท่านบอกว่ากรรมของสัตว์ ท่านได้ทำหน้าที่ของท่านแล้ว อยู่ที่การวินิจฉัยของพวกเรา อยู่ที่การวินิจฉัยของจิตดวงนั้น ถ้ามันมีอำนาจวาสนา มันฟังแล้วไปหาเหตุหาผล เห็นไหม นี่อานิสงส์ของการฟังธรรม ไม่เคยได้ยินได้ฟัง ได้ยินได้ฟังแล้วตอกย้ำ แก้ไขความสงสัย ถ้ามันลงใจ จิตใจนี้ผ่องแผ้ว นี่อานิสงส์ของการฟังธรรม เอวัง